มะรุม

มะรุม งานวิจัยและสรรพคุณ 36 ข้อ


ชื่อสมุนไพร มะรุม

ชื่ออื่นๆ/ชื่อประจำถิ่น ผักอีฮุม (อีสาน), มะค้อนก้อม (ภาคเหนือ), กาแน้งเดิง (กะเหรี่ยง, กาญจนบุรี), ผักเนื้อไก่ (ชาวฉานแถบแม่ฮ่องสอน)

ชื่อสามัญ Horse Radish Tree, Drumstick

ชื่อวิทยาศาสตร์ Moringaoleifera Lam

วงศ์ Moringaceae


มะรุม


ถิ่นกำเนิดมะรุม

ต้นมะรุมมีปลูกอยู่ทั่วโลก โดยมนุษย์รู้จักพืชชนิดนี้มากกว่า 4000 ปี แล้ว ในต่างประเทศทำการวิจัย และสกัดเป็นผลิตภัณฑ์ เพื่อบำรุงร่างกายมาหลายปีแล้ว ตนได้รับความนิยมอย่างสูง ทั้งในยุโรป และอเมริกา เชื่อว่ามีคุณสมบัติช่วยบำบัดโรคได้กว่า 300 ชนิด โดยเฉพาะโรคที่สำคัญๆ ของมนุษย์ เช่น มะเร็ง, ขาดสารอาหาร และเอดส์ เป็นต้น โดยมีสายพันธุ์อยู่ทั้งหมด 13 สายพันธุ์ มีถิ่นกำเนิดในประเทศแถบเอเชีย อินเดียแถบเทือกเขาหิมาลัย แต่ก็พบได้ทั่วไปในแอฟริการ และเขตร้อนของทวีปอเมริกา มะรุมเป็นพืชผักสมุนไพรที่มีความสำคัญกับวิถีชีวิตของคนไทยในอดีตมาจนถึงปัจจุบัน สำหรับต้นมะรุมที่ปลูกทั่วไปในประเทศไทย เรียกว่า พันธุ์ข้าวเหนียว เป็นสารพันธุ์เดียวกับต่างประเทศที่เรียกว่า MoringaOleiferaและอีกสายพันธุ์ที่เรียกว่าสายพันธุ์กระดูก (MoringaStenopatala )



ประโยชน์และสรรพคุณมะรุม

บำบัดโรคเบาหวาน

รักษาโรคความดันโลหิตสูง

ช่วยรักษารักษาโรคมะเร็ง

ช่วยรักษาโรคไขข้ออักเสบ

ช่วยรักษาโรคเก๊าส์

ช่วยรักษาโรคกระดูกอักเสบ

ช่วยรักษาโรคมะเร็งในกระดูก

รักษาโรครูมาติซั่ม

ช่วยรักษาโรคลำไส้อักเสบ

แก้ท้องเสีย ท้องผูก

รักษาโรคพยาธิในลำไส้

รักษาโรคทางเดินของลมหายใจ

ช่วยรักษาโรคปอดอักเสบ

รักษาโรคตา

แก้ไข้หัวลม

เป็นยาบำรุง

ช่วยขับปัสสาวะ

ช่วยขับน้ำตา

ต้านอนุมูลอิสระ

เพิ่มภูมิต้านทานให้ร่างกาย 

ช่วยบำรุงรักษาผิวที่แห้งใช้ชุ่มชื่น

ช่วยชะลอความเหี่ยวย่นของผิว ชะลอความแก่

ช่วยรักษาแผลสด ถูกมีดบาด หรือ แผลสดเล็กๆ น้อยๆ

ช่วยลดอาการผื่นผ้าอ้อมในเด็ก

ช่วยบรรเทาอาการเกิดสิว

ช่วยลดจุดด่างดำหลังจากโดนแดด

ใช้นวดศีรษะ รักษาราผิวหนัง บรรเทาอาการผมร่วง คันศีรษะ

แก้อาการบวม

บำรุงไฟธาตุ 

ใช้รักษาโรคขาดอาหารในเด็กแรกเกิดถึง 10 ขวบ 

ช่วยรักษาผู้ป่วยโรคเอดส์ให้อยู่ในภาวะควบคุมได้

น้ำมันมะรุม ใช้หยอดจมูกรักษาโรคภูมิแพ้ ไซนัสโรคทางเดินหายใจ

ใช้หยอดหูฆ่าและป้องกันพยาธิในหู

รักษาอาการเยื่อบุหูอักเสบ

รักษาโรคหูน้ำหนวก

ป้องกันมะเร็ง สารเบนซิลไทโอไซยาเนตไกลโคไซด์ชนิดหนึ่งและสารไนอาซิไมซิน (niazimicin)


รูปแบบและขนาดวิธีใช้มะรุม


ตำราพื้นบ้านใช้ใบมะรุมใช้พองแผลช่วยห้ามเลือด ยอดอ่อนลวกรับประทานมะรุมเป็นอาหาร ดอกตากแห้งชงเป็นชา หรือ ต้มรับประทานน้ำเป็นยา ฝัก ใช้ประกอบอาหารรับประทาน เมล็ดใช้สกัดทำเป็นน้ำมันมะรุม เปลือกลำต้นและรากใช้ต้มกรองกากเพื่อรับประทานน้ำเป็นยา



ลักษณะทั่วไปของมะรุม

           • Moringaoleifera Lamหรือมะรุมพันธุ์ข้าวเหนียว ลักษณะทั่วไปของมะรุม เป็นไม้ยืนต้น ขนาดกลาง ลำต้นมีความสูงประมาณ 15–20 เมตร ลำต้นเป็นพุ่มโปร่ง เปลือกลำต้นเป็นสีเทาอ่อน ผิวค่อนข้างเรียบ เติบโตมีความสูงถึง 4 เมตร และออกดอกภายในปีแรกที่ปลูก ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก ชนิดที่แตกใบย่อย 3 ชั้น ยาว 20–40 ซม.ออกเรียงแบบสลับ ใบย่อยยาว 1–3 ซม. รูปไข่ ปลายใบและฐานในมน ผิวใบด้านล่างสีอ่อนกว่าและมีขนเล็กน้อยขณะที่ใบยังอ่อน ออกดอกในฤดูหนาว ดอกเป็นดอกช่อ สีขาว กลีบเรียง มี 5 กลีบ กลีบดอกมี 5 กลีบ แยกกัน ผลเป็นฝักยาว เปลือกสีเขียวมีส่วนคอดและส่วนมน เป็นระยะๆ ตามยาวของฝักฝักยาว 20–50 ซม. เมล็ดเป็นรูปสามเหลี่ยม มีปีกบางหุ้ม 3 ปีก เส้นผ่าศูนย์กลางของเมล็ดประมาณ ซม.

           • MoringaStenopatala หรือมะรุมพันธุ์กระดูก ลักษณะมีขนาดเล็กสูงไม่ถึง 12 เมตร หรือ ประมาณ 39 ฟุต ลำต้นก็มีหลายกิ่ง ใบมี คล้ายแผ่นเชิงวงรีรูปไข่ หรือ รูปใบหู ดอกมีกลิ่นหอม มีกลีบเลี้ยงสีครีม ขาว ชมพู หรือสีเหลือง มีเกสรตัวผู้เป็นสีขาว ฝักมีความยาว 30–60 ซม.



การขยายพันธุ์มะรุม

มะรุมเป็นพืชที่ปลูกง่าย เจริญเติบโตได้ดีในดินทุกชนิด ต้องการน้ำและความชื้นปานกลางการปลูกมะรุมได้ด้วยการเพาะเมล็ดและการปักชำ การปลูกการดูแลรักษาก็ง่ายไม่ยุ่งยากซับซ้อน เกษตรกรจึงมักนิยมปลูกมะรุมไว้ริมรั้วบ้านหรือหลังบ้าน 1–5 ต้น เพื่อให้เป็น ผักคู่บ้านคู่ครัวแบบพอเพียงที่ไม่ต้องซื้อหา